เป็นเจ้าภาพบวชพระ เเละบวชเณรได้ตามนี้ครับ
ต่อแต่นี้ไปจะนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จ พระประทีปแก้วบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่อง
อานิสงส์การบรรพชา มาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ความมีว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์เมื่อทรงพระชนม์อยู่
องค์สมเด็จพระบรมปรารถเรื่องการอุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่าการอุปสมบทบรรพชานี้มีอานิสงส์พิเศษ อานิสงส์อย่างอื่น
มีการสร้างวิหารทานก็ดี การถวายสังฆทานก็ดีทอดกฐินผ้าป่าก็ดี จัดว่าเป็นอานิสงส์สำคัญ
แต่อานิสงส์นี้นั้นบุคคลที่จะพึ่งได้ต้องโมทนาก่อน หมายความว่า ถ้าบุตรธิดาของตนบำเพ็ญกุศลบิดามารดาไม่โมทนาย่อมไม่ได้
แต่ว่าการอุปสมบมบรรพชานี้แปลกกว่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า
สมมุติว่าบุตรชายของท่านผู้ใดออกจากครรภ์มารดาวันนั้น บิดามารดาก็จากกัน ลูกกับพ่อ ลูกกับแม่ย่อมไม่รู้จักกันเวลาที่บรรพชานั้น
บิดามารดาก็ไม่ทราบ แต่ทว่า ถึงอย่างก็ดีองค์สมเด็จพระชินศรีตรัสว่า บิดามารดาย่อมได้อานิสงส์โดยสมบูรณ์นี่เป็นอันว่า
อานิสงส์แห่งการการอุปสมบทบรรพชานี้แปลกจากบุญกุศลอย่างอื่น เป็นอันว่าขอพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่าบุญอย่างอื่นลูกทำไปแล้ว
พ่อแม่ไม่โมทนาย่อมไม่ได้อานิสงส์นั้นแต่ว่าการอุปสมบทและบรรพชา บิดามารดาซึ่งคลอดบุตรมาแล้วต่างคนต่างจากกันไป
พ่อแม่ไม่ทราบว่าบุตรมีรูปร่างหน้าตาเป็นประการใดเพราะจากกันไปตั้งแต่คลอดใหม่ๆ
สำหรับลูกชายก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบิดารมารดาเป็นใคร
แต่ว่าอุปสมบรรพชาเมื่อไรบิดามารดาย่อมได้อานิสงส์สมบูรณ์ เหตุนี้การอุปสมบทบรรพชาจึงจัดว่า เป็นกุศลพิเศษ
ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงบัญญัติไว้ ทีนี้จะว่ากันไปถึงอานิสงส์แห่งการอุปสมบทบรรพชา
คำว่า บรรพชา นี้หมายความว่าบวชเป็นเณร คำว่า อุปสมบท นี้หมายความว่า บวชเป็นพระ สำหรับท่านที่บรรพชาในพุทะศาสนาเป็นสามเณร
อันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าท่านผู้บรรพชาเองคือเณร ถ้าประพฤติปฏิบัติดีนี่เอากันถึงด้านการประพฤติปฏิบัติดี
ถ้าปฏิบัติเลวการการบวชเณรก็ถือว่าเป็นการซื้อนรกถ้าปฏิบัติดีนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
ท่านที่บวชเข้ามาเป็นเณรในพุทธศาสนาแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามระบอบพระธรรมวินัย สำหรับเณรผู้นั้นย่อมมีอานิสงส์คือ
ถ้าตายจากความเป็นคนถ้าจิตของตนมีกุศลธรรมดา ไม่สามารถจะทรงจิตเป็นฌานองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า
ท่านผู้นั้นจะเสวยความสุขบนโลกมนุษย์ได้ถึง 30 กัป เช่นเดียวกัน การนับกัปหนึ่ง... คำว่ากัปหนึ่งนั้นมีปริมาณนับปีไม่ได้
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเปรียบเทียบไว้อย่างนี้ว่า มีภูเขาลูกหนึ่ง เป็นหินล้วนไม่มีดินเจือปนถึงเวลา 100 ปี
เทวดาเอาผ้ามีเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดยอดเขานั้นครั้งหนึ่ง ทำอย่างนี้ 100 ปีปัด 1 ครั้ง 100 ปีปัด 1ครั้ง จนกระทั่งหินนั้นหมดไป
หาหินไม่ได้เหลือแต่ดินล้วน นั่นจึงจะมีอายุได้ครบ 1 กัป และอีกประการ หนึ่งท่านพรรณนาไว้ในพระวิสุทธิมรรคว่า
มีอุปมาเหมือนกับว่ามีถังใหญ่ลูกหนึ่งมีความ สูง 1 โยชน์ กว้าง 1 โยชน์ ยาว 1 โยชน์เหมือนกัน
มีคนเอาเมล็ดพันธุ์ผัดกาดมาใส่ในถังนั้นจนเต็มถึงเวลา 100 ปี ก็เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นออก 1 เมล็ด
ทำอย่างนี้จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผัดกาดนั้นจะหมดไป เป็นการเปรียบเทียบกันได้กับระยะเวลา 1 กัป
นี่เป็นอันว่ากัปหนึ่งเราจะนับเวลาประมาณไม่ได้ เช่นกัปหนึ่งเราจะนับเวลาประมาณไม่ได้
เช่นกัปในปัจจุบันนี้สามารถจะ ทรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ถึง10 พระองค์
เป็นระยะยาวนานมากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ท่านที่บวชเป็นเณรเอง และมีความประพฤติปฏิบัติดี
ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมอยู่ถึง 30 กัป นั่นก็หมายความว่าอายุเทวดาหรือพรหมย่อมีกำหนดไม่ถึง 30 กัป
และเมื่อหมดอายุแล้วจะเกิดเป็นพรหมใหม่ อยู่บนนั้นไปจนกว่าจะถึง 30 กัป หรือมิฉะนั้นก็ต้องเข้านิพพานก่อน
สำหรับ บิดามารดา ของบุคคลผู้บวชเป็นสามเณร ย่อมได้อานิสงส์คนละ 15กัป คือครึ่งหนึ่งของเณร
หมายความว่าบิดารมีอานิสงส์ 15 กัป มารดามีอานิสงส์เสวยความสุขบนสวรรค์หรือพรหมโลก15 กัป เช่นเดียวกัน
เป็นอันว่าบรรพชากุลบุตรของตน ไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นสามเณรมีอานิสงส์อย่างนี้
องค์สมเด็จพระมหามุนีตรัสต่อไปว่าบุคคล ผู้ใดมีวาสนาบารมีคือมีศรัทธาแก่กล้าตั้งใจอุปสมบทในพุทธศาสนาเป็นพระสงฆ์
แต่ว่าเมื่อบวชแล้วก็ต้องปฏิบัติชอบประกอบไปด้วยคุณธรรม
คือมีพระธรรมวินัยเป็นสำคัญอันนี้องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า
ท่านที่บวชเป็นพระด้วยตนเองจะมีอานิสงส์พิเศษที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสไว้
แต่ทว่า ภิกษุสามเณรท่านใดผิดบทบัญญัติในพระพุทธศาสนาก็พึงทราบว่า เมื่อเวลาตายก็มีอเวจีเป็นที่ไปเหมือนกันอานิสงส์ที่พึงได้ใหญ่เพียงใด
โทษก็มีใหญ่เพียงนั้นสำหรับบรรดาท่านผู้ไม่ใช่บิดามารดาของ บุตรกุลธิดาที่อุปสมบทบรรพชาในพระพุทธศาสนา
เป็นผู้ช่วยในการบวช นี่หมายความว่า เวลาเขาจะบวชพระครั้งหนึ่ง
เราทราบเข้าก็ไปบำเพ็ญกุศลร่วมกับเข้าด้วยจตุปัจจัยมากบ้างน้อยบ้าง
ให้สิ่งของบ้างช่วยขวยขวายในกิจการงานในการที่จะอุปสมบทบ้าง
หมายความว่าเขาจะบวชลูกบวชหลานของเขา เราไม่มีลูกหลานจะบวชเขามาบอกบุญมาหรือไม่บอกบุญก็ตาม
เอาจตุปัจจัยบ้าง เอาของที่จะพึ่งจะใช้ในงานบ้าง ไปช่วยในงานด้วยความเลื่อมใสถ้าไม่มีจตุปัจจัย
ไม่มีของ ก็เอากายไปช่วยช่วยขวนขวายในกิจการงาน อย่างนี้องค์ สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดากล่าวว่า
ท่านผู้นั้นจะมีอานิสงส์เสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ หรือในพรหมโลก คนละ 8 กัป
แต่ถ้าหากเป็นคนฉลาด อย่างเช่นเขาบวชพระกัน42 องค์
เราก็ช่วยกันบำเพ็ญกุศลช่วยในการบวชพระ
ไม่เจาะจงท่านผู้ใดผู้หนึ่งเรียกว่าช่วยหมดทั้ง 42 องค์ ก็ต้องเอา 42ตั้งเอา 8 คูณ นี่เป็นอันว่า...
อานิสงส์ที่ที่จะพึงได้ในการอุปสมบทบรรพาชากุลบุตรกุลธิดา
ในพระพุทะศาสนาสำหรับผู้ช่วยงานแต่สำหรับท่านผู้เป็น เจ้าภาพ ในฐานะ คนที่บวชไม่ได้เป็นบุตรของเรา
แต่ว่าเป็นผู้จัดการขวยขวายในการอุปสมบทบรรพชาให้
อันนี้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดากล่าวว่า ท่านผู้จัดการบวชจะ
ได้อานิสงส์ 12 กัป จะมีผลหลั่นซึ่งกันและกัน โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ธรรมปฏิบัติเล่ม 1หน้า 29-35